บ้านยางแดง
ตำบล คู้ยายหมี อำเภอ สนามชัยเขต จังหวัด ฉะเชิงเทรา
ความเป็นมา
บ้านยางแดง ต. คู้ยายหมี อ.สนามชัยเขต จ. ฉะเชิงเทรา
เป็นพื้นที่ป่าสงวนแควระบบ-สียัดหลังจากสิ้นสุดการสัมปทานตัดไม้ของบริษัทเอกชนได้มีชาวบ้านจากชุมชนใกล้เคียงเคลื่อนย้ายเข้ามาอยู่เพื่อจับจองที่ดินทำกิน
และหาของป่าขาย เช่น ตัดไม้แก่น ปลูกข้าวไร่ เผาถ่าน ตักน้ำมันยาง
หาสมุนไพรและของป่าอื่นๆ ขายให้พ่อค้าในตลาดเกาะขนุน เป็นต้น ต่อมากระแสการปลูกพืชเศรษฐกิจเพื่อขายได้ขยายจากจังหวัดชลบุรีเข้ามาในพื้นที่
คือ มันสำปะหลังและข้าวโพด
ส่งผลให้ชาวบ้านถากถางป่าเพื่อปลูกมันสำปะหลังกันอย่างกว้างขวางและมีชาวบ้านอพยพเข้ามาสมทบเพิ่มจาก
จังหวัดชลบุรี ปราจีนบุรี ยโสธร บุรีรัมย์ สุรินทร์ อุบลราชธานี
การเข้ามาอยู่ของชาวบ้านในพื้นที่นั้นเพื่อเพราะปลูกพืชเศรษฐกิจขาย
ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ในระยะแรกดีขึ้นมาก
ส่งผลให้ชาวบ้านถากถางพื้นที่เพื่อการปลูกมันสำปะหลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เพราะคิดว่าการปลูกมันสำปะหลังแล้วจะทำให้เศรษฐกิจของตนดีขึ้น
เพราะบ้านยางแดงเป็นพื้นที่ป่าเปิดใหม่ทำให้การปลูกมันและพืชเศรษฐกิจต่างๆ
มีต้นทุนต่ำ ได้ผลผลิตต่อไร่สูง (เฉลี่ย 3-4 ตันต่อไร) ต่อมาผลผลิตลดต่ำลงเนื่องจากการเพราะปลูกพืชชนิดเดียวซ้ำในพื้นที่เดิมอย่างต่อเนื่องทุกปีโดยขาดการปรับปรุงดิน
ทำให้ผลผลิตลดลงน้อยลง เป็นการสวนทางกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นมาก แต่ราคาผลผลิตตกต่ำ
แหล่งอาหารธรรมชาติที่ชาวบ้านได้พึ่งพาอาศัยลดน้อยลงไปพร้อมกันกับการประสบปัญหาหนี้สินนอกระบบซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยสูง
สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านมีลักษณะที่ต่างคน ต่างอยู่ขาดความเชื่อมั่นและไว้ใจซึ่งกันและกัน
มีปัญหาความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเนื่องจากโจรผู้ร้ายชุกชุม
มีปัญหาสุขภาพอนามัยเพราะเป็นเขตระบาดของโรคมาลาเรีย และมีระบบสาธารณสุขที่สำหลัง
การบริการของรัฐเข้ามาไม่ถึงชาวบ้าน ปี พ.ศ. 2522
มีนักพัฒนาอิสระเข้ามาช่วยงานป่าไม้เขตปราจีนบุรีในการปลูกป่าเสริมที่บ้านยางแดงและได้อาสาเข้าไปสอนนักเรียนร่วมกับครูในโรงเรียนเนื่องจากครูมีจำกัด
ทำให้ได้รับรู้ถึงสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวผ่านนักเรียน
การดำเนินการพัฒนาของชุมชนแบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ
1) ระยะที่ 1
ระหว่างปี 2523 – 2527 นักพัฒนาอิสระ ผู้นำ และครู ได้มีการสรุปบทเรียนร่วมกันและพบว่าการดำเนินกิจกรรมพัฒนาชุมชนที่ผ่านมาประสบปัญหาในการดำเนินการในหลายกิจกรรม
เนื่องจากขาดการมีส่วนของผู้หญิงในกระบวนการพัฒนาของครอบครัวและชุมชน
จึงได้มีการบวนการพัฒนาของครอบครัวและชุมชน
จึงได้มีการปรับกระบวนการและทิศทางการดำเนินการในระยะต่อไป
2) ระยะที่ 2
ระหว่าง ปี 2527 – 2540 เน้นการเสริมกระบวนการศึกษาเรียนเพื่อเสริมศักยภาพของผู้นำและชาวบ้านโดยเฉพาะสตรีในการพัฒนาระบบเกษตรกรรมทางเลือก
การพัฒนากองทุนให้เติบโตเข้มแข็งเป็นฐานในการสนับสนุนแก้ไขปัญหาของครอบครัว
และชุมชน รวมทั่งเป็นองค์กรแกนหลักของชุมชนในการประสานความร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชน
และประเด็นสำคัญคือการให้ผู้หญิงเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาเปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้ข่าวสารข้อมูล
พัฒนาความรู้ความเข้าใจ และพัฒนาศักยภาพของตนเองในการเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมกระบวนการพัฒนาครอบครัวและชุมชนอย่างเคียงไหล่กับผู้นำชาย
ซึ่งนำไปสู่การเกิดกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตแม่บ้านยางแดงขึ้น
ซึ่งเป็นเวทีการเรียนรู้ร่วมกันของผู้หญิงในการแก้ไขปัญหาของผู้นำครอบครัว
และชุมชนให้เกิดการพึ่งตนเองในด้านอาหาร สวัสดิการ และการออมในทุกระดับ
เพื่อสร้างความมั่นคงเข้มแข้งด้านเศรษฐกิจ สังคมของครอบครัวและชุมชน
3) ระยะที่ 3 ระหว่างปี 2528 – 2544 พบว่า
กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตแม่บ้านยางแดง มีสมาชิกทั้งสิ้น 127 คน ประมาณทั้งสองกลุ่มได้ร่วมมือกันพัฒนาชุมชนเป็นอย่างดีโดยทั้งกลุ่มพ่อบ้านและกลุ่มแม่บ้านได้ร่วมกันวางแผนพัฒนาและสรรหาทรัพยากรเข้ามาแก้ไขปัญหาชุมชนอย่างต่อเนื่องทำหน้าที่ร่วมกันในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน
คือ จัดสวัสดิการให้ชุมชนการให้สินเชื่อแก่สมาชิกการจัดให้มีการฝึกอบรมอาชีพ
ดังนั้นเศรษฐกิจชมชุนและการพึ่งตนเองของชุมชนตามกรณีศึกษานี้ เป็นระบบเศรษฐกิจที่ 3 คือระบบเศรษฐกิจแบบสมาชิกภาพ ซึ่งมีพัฒนาการมาจากการที่ครอบครัวมีการผลิตเพื่อให้พอเพียงแก่การบริโภคในครัวเรือน
ส่วนที่เหลือนำมาขายและเก็บออมไว้ใช้เมื่อคราวจำเป็น โดยการรวมกลุ่มกันสะสมทุนด้วยการจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์
ผลกำไรที่ได้ก็มาแบ่งบันให้สมาชิกและจัดสวัสดิการให้กับสมาชิกผู้ด้อยโอกาสในชุมชนและนอกชุมชน
นอกจากนี้การรวมกลุ่มยังกลายเป็นศูนย์กลางในการรับบริการจากองค์กรภายนอกทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ
เช่นการได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลให้ทำโครงการนำร่องเกษตรกรรมแบบยั่งยืน
เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก คุณวิไลวรรณ ปันวัง